วิธีติดตั้งโปรแกรม OBS Studio เวอร์ชันล่าสุด (สำหรับมือใหม่)

 

วิธีติดตั้งโปรแกรม OBS Studio เวอร์ชันล่าสุด (สำหรับมือใหม่)

หากคุณต้องการ ถ่ายทอดสด (Live Streaming) หรือ อัดวิดีโอหน้าจอ คุณภาพสูง โปรแกรม OBS Studio คือหนึ่งในตัวเลือกที่ฟรีและดีที่สุด รองรับทั้ง Windows, macOS และ Linux โดยไม่มีลายน้ำหรือข้อจำกัด

จากการใช้งานส่วนตัวของแอดมิน ทุกวันนี้เท่าที่ลองใช้งาน คอมที่ติดตั้งต้องมีสเปกดีๆ และเน็ตบ้านสัญญาณดีๆ สามารถใช้ในการสอนสด หรือขายสินค้ากลุ่มเป้าหมายได้ดี โดยแนะนำให้ ใช้กับ YOUTUBE หรือ FACEBOOK 


ขั้นตอนการติดตั้ง OBS Studio

1. ดาวน์โหลดโปรแกรม

  • เข้าเว็บไซต์ทางการของ OBS Studio ที่
    https://obsproject.com

  • คลิกที่ปุ่มดาวน์โหลดตามระบบปฏิบัติการของคุณ เช่น

    • Windows

    • macOS

    • Linux

2. ติดตั้งโปรแกรม

  • เปิดไฟล์ที่ดาวน์โหลดมา (เช่น .exe บน Windows)

  • คลิก “Next” ไปเรื่อย ๆ และเลือก “Install” เพื่อเริ่มติดตั้ง

  • เมื่อเสร็จแล้ว คลิก “Finish” เพื่อเปิดโปรแกรม

3. ตั้งค่าครั้งแรก (Auto-Configuration Wizard)

  • OBS จะถามว่าคุณต้องการใช้โปรแกรมเพื่อ

    • ถ่ายทอดสด (Streaming)

    • บันทึกวิดีโอ (Recording)

  • เลือกให้เหมาะกับการใช้งาน แล้ว OBS จะตั้งค่าอัตโนมัติให้เหมาะสมกับสเปกเครื่องของคุณ


การใช้งานเบื้องต้น

เพิ่มแหล่งภาพ (Sources)

  1. คลิกปุ่ม + ใต้แถบ Sources

  2. เลือกประเภท เช่น

    • Display Capture: แสดงทั้งหน้าจอ

    • Window Capture: จับเฉพาะโปรแกรม

    • Video Capture Device: กล้องเว็บแคม

  3. ปรับขนาดและตำแหน่งในหน้าจอ Preview

การเชื่อมต่อกับ Facebook หรือ YouTube

  1. ไปที่ Settings > Stream

  2. เลือกบริการที่ต้องการ เช่น Facebook, YouTube

  3. วาง Stream Key ที่ได้จากบัญชีของคุณ

  4. คลิก “Start Streaming” เพื่อเริ่มถ่ายทอดสด


สรุป

OBS Studio เป็นเครื่องมือที่ฟรี ใช้งานง่าย และมืออาชีพเลือกใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งในงาน Live สด เกม, สอนออนไลน์ หรือทำวิดีโอ YouTube หากคุณกำลังมองหาโปรแกรมดี ๆ ไม่กินสเปกมาก OBS Studio คือตัวเลือกที่คุณควรลอง

✅ ดาวน์โหลดฟรี: https://obsproject.com



 

รีวิว TeamViewer ปี 2025 พร้อมเปรียบเทียบ AnyDesk และ Chrome Remote – โปรแกรมควบคุมคอมที่ดีที่สุดคือใคร?

 

ทำไม TeamViewer ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ในปี 2025?

ในโลกที่การทำงานระยะไกล (Remote Work) และการสนับสนุนด้านเทคนิคจากระยะไกลกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน TeamViewer ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือยอดนิยมที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ได้จากระยะไกลอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการ แก้ไขปัญหาทางเทคนิค, ส่งไฟล์ข้ามเครื่อง, หรือแม้แต่การเข้าถึงข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ที่บ้านขณะเดินทาง

ในปี 2025 นี้ ความต้องการใช้งานโปรแกรมควบคุมคอมพิวเตอร์จากระยะไกลยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในองค์กรที่เน้นความยืดหยุ่นในการทำงาน การสนับสนุนลูกค้าอย่างรวดเร็ว และความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากรได้จากทุกที่ทุกเวลา ซึ่งทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ TeamViewer สามารถตอบโจทย์ได้อย่างครบถ้วน

นอกจากความง่ายในการใช้งานแล้ว TeamViewer ยังโดดเด่นในด้าน ความปลอดภัยของข้อมูล, ความเร็วในการเชื่อมต่อ, และ การรองรับอุปกรณ์หลากหลายแพลตฟอร์ม ทั้ง Windows, macOS, Linux, iOS และ Android จึงไม่แปลกใจที่ยังคงเป็นเครื่องมือหลักของทั้งผู้ใช้ทั่วไปและองค์กรระดับมืออาชีพทั่วโลก


✅ คุณสมบัติเด่นของ TeamViewer (เวอร์ชันปี 2025)

  1. การควบคุมระยะไกลแบบเรียลไทม์ (Remote Control)

    • เข้าถึงคอมพิวเตอร์ปลายทางได้ทันที ราวกับนั่งอยู่หน้าจอจริง

    • รองรับการใช้เมาส์, คีย์บอร์ด, ลากไฟล์ ฯลฯ

  2. ความปลอดภัยระดับสูง

    • ใช้การเข้ารหัสแบบ End-to-End (AES 256-bit)

    • มีระบบยืนยันตัวตนแบบสองชั้น (2FA)

  3. รองรับหลายอุปกรณ์และหลายระบบ

    • Windows, macOS, Linux, Android, iOS, ChromeOS

    • สามารถควบคุมอุปกรณ์มือถือจากคอมพิวเตอร์ หรือกลับกัน

  4. ฟีเจอร์โอนถ่ายไฟล์ (File Transfer)

    • ส่งไฟล์ระหว่างเครื่องได้โดยตรง สะดวกและรวดเร็ว

  5. ฟังก์ชันประชุมออนไลน์และแชท (Meeting & Chat)

    • ใช้แชร์หน้าจอเพื่อประชุมหรืออบรมออนไลน์

    • รองรับการสนทนาแบบข้อความในตัวแอป

  6. การจัดการอุปกรณ์และกลุ่มงาน (Management Console)

    • เหมาะสำหรับฝ่าย IT ที่ต้องดูแลหลายเครื่อง

    • จัดกลุ่มเครื่อง, ตั้งสิทธิ์การเข้าถึง, ดูประวัติการเชื่อมต่อ


🛠 วิธีการใช้งานเบื้องต้น TeamViewer

ขั้นตอนที่ 1: ดาวน์โหลดและติดตั้ง

  • เข้าเว็บไซต์ https://www.teamviewer.com

  • ดาวน์โหลดเวอร์ชันฟรีสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป หรือ Business สำหรับองค์กร

  • ติดตั้งตามขั้นตอน พร้อมเลือกโหมด “Personal / Non-commercial use” หากใช้ส่วนตัว

ขั้นตอนที่ 2: รับรหัสเชื่อมต่อ

  • เปิด TeamViewer บนคอมพิวเตอร์ปลายทาง (เครื่องที่ต้องการควบคุม)

  • จดหมายเลข “Your ID” และ “Password” ซึ่งจะเปลี่ยนทุกครั้งที่เปิดใหม่เพื่อความปลอดภัย

ขั้นตอนที่ 3: เชื่อมต่อจากเครื่องของคุณ

  • เปิด TeamViewer บนเครื่องของคุณ

  • ใส่ ID และ Password ของเครื่องปลายทางลงในช่อง “Partner ID” → กด Connect

ขั้นตอนที่ 4: ควบคุมหรือโอนไฟล์

  • เมื่อเชื่อมต่อสำเร็จ จะสามารถควบคุม, เปิดไฟล์, ติดตั้งโปรแกรม หรือโอนถ่ายไฟล์ได้ทันที

  • มีเมนูแถบด้านบนให้เลือกคำสั่ง เช่น File Transfer, Remote Control, Reboot, Chat

🔁 เปรียบเทียบ TeamViewer vs AnyDesk vs Chrome Remote Desktop

ในปัจจุบันมีเครื่องมือควบคุมคอมพิวเตอร์ระยะไกลหลายตัวให้เลือกใช้ โดยเฉพาะ TeamViewer, AnyDesk และ Chrome Remote Desktop ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ทั้ง 3 โปรแกรมมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของแต่ละบุคคลหรือองค์กร

คุณสมบัติหลักTeamViewerAnyDeskChrome Remote Desktop
✅ ใช้งานฟรีส่วนตัว✔️ (จำกัดฟีเจอร์)✔️ (เร็วและเบา)✔️ (ฟรีเต็มฟีเจอร์พื้นฐาน)
💻 รองรับหลายระบบปฏิบัติการ✔️ Windows, macOS, Linux, Android, iOS✔️ Windows, macOS, Linux, Android, iOS✔️ Windows, macOS, Linux, ChromeOS
🔐 ความปลอดภัยระดับสูง (AES 256-bit, 2FA)ปลอดภัยสูง (TLS 1.2, RSA 2048)ใช้บัญชี Google (OAuth + HTTPS)
📁 การโอนไฟล์✔️ มี UI โอนถ่ายไฟล์โดยเฉพาะ✔️ โอนไฟล์รวดเร็วมาก❌ ไม่มี UI โอนถ่าย ต้องลากไฟล์ข้าม
📞 ฟีเจอร์เพิ่มเติมวิดีโอคอล, แชท, เข้าร่วมประชุมแชท, บันทึกหน้าจอไม่มีฟีเจอร์เพิ่มเติม
🌐 ความเร็วการเชื่อมต่อดี (มีการเพิ่ม latency ถ้าเน็ตช้า)เร็วมาก เบาเครื่องปานกลาง (ขึ้นอยู่กับ Chrome/Google ID)
🏢 เหมาะกับการใช้งานแบบไหนองค์กร, ผู้ใช้งานทั่วไปที่เน้นความครบเครื่องงาน support ที่ต้องการความเร็ว, เบาเครื่องผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ต้องการติดตั้งเพิ่ม

✅ ข้อสรุป:

  • TeamViewer เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟีเจอร์ครบ เช่น ควบคุม + ส่งไฟล์ + ประชุมออนไลน์ ใช้ในองค์กร หรือช่วยเหลือทางไกล

  • AnyDesk เด่นเรื่องความเร็วและน้ำหนักเบา ใช้กับเครื่องสเปกต่ำหรือเน็ตไม่แรงได้ดีมาก

  • Chrome Remote Desktop เหมาะกับผู้ที่ใช้ Google Account เป็นหลัก ต้องการควบคุมระยะไกลแบบง่าย ๆ ไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่ม

📥 ดาวน์โหลด TeamViewer, AnyDesk และ Chrome Remote Desktop

เพื่อความปลอดภัยและมั่นใจว่าได้ใช้โปรแกรมเวอร์ชันล่าสุดจากแหล่งที่เชื่อถือได้ กรุณาเลือกดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ทางการด้านล่าง:

🔹 TeamViewer (ฟรีสำหรับใช้งานส่วนตัว)

🔹 AnyDesk (ฟรีสำหรับใช้งานส่วนตัว)

🔹 Chrome Remote Desktop (ฟรี 100%)



EP4 การสร้างแบบฟอร์มชำระเงินค่าสินค้า

 สำหรับตอนนี้เรา จะมากรองข้อมูลสินค้าตามบิลขายในตะกร้าสินค้า   เงื่อนไขเดียวคือ ถ้าไม่ ชำระเงินสินค้าก็จะปิดการขายของรหัสบิลขายปัจจุบันยังไม่ได้ ถ้าเลือกสินค้าเข้ามาก็จะต่อท้ายไปเรื่อยๆ 555 

ขั้นแรก สร้างตัวกรองข้อมูล

ไปที่แท็บดาต้า คลิกตาราง Sales และสร้างตัวกรอง 

CurrentCartSlice

ฟิลเตอร์ [CheckedOut?] = FALSE


กลับมาที่หน้า UX สร้างมุมมองใหม่ ตั้งชื่อเป็น ตะกร้าสินค้า 

Source เป็น CurrentCartSlice

มุมมองหรือ viewtype เป็นรายละเอียด detail 

สร้าง Action สำหรับยืนยันการชำระเงินสินค้า หรือ checkedOUt ให้เปลี่ยนสถานะจาก FALSE เป็น TRUE


ที่ตาราง cart 

ชื่อ Mark as Checked Out

Set the value of some column 

Chekedout=TRUE



ชื่อ Create Sale Detail from Cart

Add a new row to 

add to : Sales detail 

SalesID

ProductID

Quantity

Price

Amount


ชื่อ Checkout Cart Item

Grouped:exec

Add : Create Sale Detail from Cart

Mark as Checked Out


สร้าง Action ตาราง Sales

ชื่อ Create New Sale

Go to another view

LINKTOFORM(

  "Cart_Form 2",

  "SalesID", CONCATENATE("SO", TEXT(TODAY(), "YYMMDD"), UNIQUEID()),

  "SalesDate", TODAY()

)


ชื่อ Mark Sale as Checked Out

Set the value of some column 

Chekedout=TRUE


ชื่อ Run Checkout on Cart

execu an action an a set of row

table : cart

ref row : SELECT(Cart[CartID], AND([SalesID] = [_THISROW].[SalesID], [CheckedOut?] = FALSE))

ref action : Checkout Cart Item


ชื่อ Full Checkout Process

Group :exec

Add:

run checkout on cart

mark sales as checkout



EP3 | สร้างปุ่ม "หยิบใส่ตะกร้า" พร้อมระบบเตรียมชำระเงิน

คลิก Data เลือกตารางสินค้า product กำหนดชนิดของดาต้า ดังนี่

ProductID  เป็น text   ค่าเริ่มต้น UNIQUEID() และเป็น key หลักของตาราง 

ตาราง Cart 

cartID  เป็น text   ค่าเริ่มต้น UNIQUEID() และเป็น key หลักของตาราง 

SalesID ref ตาราง Sales

ProductID ref ตาราง product 

คอลัมน์ Price   ใส่ [ProductID].[Price]

Amount ใส่ [Quantity]*[Price]


สร้างหน้าตะกร้าสินค้า Cart_frm

ตาราง cart

มุมมอง form


คำสั่ง Action ตารางสินค้า Product 

ชื่อ Create Sales If None

Do this : Add a new row 

table to add to : Sales 

salesID = UNIQUEID() 

CheckedOut? =False

SalesDate = NOW()

อย่าลืมคลิกที่ behavior 

ใส่ค่า

ISBLANK(

  ANY(

    SELECT(

      Sales[SalesID],

      [CheckedOut?] = FALSE

    )

  )

)


คำสั่ง Action ชื่อ Go To Cart Form

ตาราง product

do this : Go to another view

LINKTOFORM(

  "Cart_Form 2",

  "SalesID", ANY(SELECT(sales[SalesID], [CheckedOut?] = FALSE)),

  "ProductID", [ProductID],

  "Quantity", 1

)

สร้างอีก 1 action ชื่อ  Add to card

do this : Group execute a sequence of action 

add สองแอคชั่น ที่สร้างก่อนหน้า 



ทดสอบ action script แล้ว พบว่า salesID ไม่ถูกสร้างในครั้งแรก และส่งค่าไปยังตะกร้าสินค้า 

ตรวจสอบแล้ว ขั้นต้น แนวทางแก้ไข

ไปที่แท็บ Data แล้วสร้าง CurrentCartSlice  ของตารางขาย Sales ใส่ฟิลเตอร์เพื่อกรอง [CheckedOut?] = FALSE


แล้วทดสอบ โค้ดใหม่ พบว่า script สามารถ gen ค่าบิลขายสินค้าให้ตอนหยิบสินค้าลงตะกร้า แล้ว 

สำหรับ ep3 น่าจะจบเท่านี้ก่อน 

"EP2 | ฟอร์มสินค้า + หมวดหมู่ : ตั้งต้นระบบขายใน AppSheet"

 

มาเริ่มต้นระบบขายของเราให้เป็นรูปเป็นร่าง! EP นี้เราจะสอนวิธีสร้างแบบฟอร์มเพิ่มสินค้าอย่างง่ายใน AppSheet พร้อมเทคนิคการแยกหมวดหมู่สินค้า เช่น ขนม, เครื่องดื่ม, ของใช้ และยังสอนวิธีนำเข้าสินค้าตัวอย่างจาก Google Sheets เข้าแอปแบบรวดเร็ว เหมาะกับร้านค้าขนาดเล็กที่อยากเริ่มต้นใช้ Mini POS เป็นของตัวเองในไม่กี่นาที!


🧩  (สรุปโครงสร้าง):

  1. เริ่มจากการสร้างตารางสินค้า ใน Google Sheets

    • Column แนะนำ: ProductID, ProductName, Category, Price, Stock

  2. เพิ่มข้อมูลตัวอย่างลงไป

    • 5–10 รายการ พร้อมใส่หมวดหมู่ เช่น ขนม, เครื่องดื่ม, ของใช้

  3. เชื่อม Google Sheets เข้ากับ AppSheet

    • ตั้งค่า Data Type ให้เหมาะ เช่น Price เป็น Decimal, Stock เป็น Number

  4. สร้างฟอร์มเพิ่มสินค้าใน AppSheet

    • ปรับ UX ให้ดูง่าย ใช้งานสะดวก

    • ใช้ Enum หรือ EnumList สำหรับหมวดหมู่

  5. Preview & ทดสอบการกรอกฟอร์มสินค้า

Mini POS ด้วย AppSheet EP1


1. เตรียม Google Sheets (ฐานข้อมูลเบื้องต้น)

ขั้นแรก ไปที่ Drive ของ gmail ส่วนตัวของเรา
สร้างโฟลเดอร์ขึ้นมาเก็บไฟล์ฐานข้อมูล
New Folder กำหนดชื่อ เป็น Mini Pos V3
และคลิกสร้างตารางงาน New Sheet

ตารางสินค้า product

ProductID ProductName Price StockQty Category ProductImage

ตาราง Sales

SalesID SalesDate CheckedOut?

ตาราง ตะกร้าสินค้า Cart

CartID SalesID ProductID Quantity Price Amount CheckedOut?

ตารางเก็บรายละเอียดการขาย Sales detail

DetailID SalesID ProductID Quantity Price Amount


ขั้นตอนต่อมา



2. นำเข้า Google Sheets เข้า AppSheet



เข้าเว็บ https://www.appsheet.com

ล็อกอินด้วยบัญชี Google ของคุณ

กด Make a new app

เลือก Start with your own data

เลือกไฟล์ Google Sheets ที่เตรียมไว้

AppSheet จะนำเข้าตารางทั้ง 4 มาเป็นตารางในแอป

ตรวจสอบว่าแต่ละตารางถูกตั้งค่า Key column เรียบร้อย (เช่น ProductID เป็น Key ใน Products, CartID ใน Cart)


กด Save
 

3. สรุป



เราได้สร้างฐานข้อมูลเบื้องต้นสำหรับ Mini POS

พร้อมเพิ่มตาราง Cart เพื่อเก็บข้อมูลสินค้าที่อยู่ในตะกร้าก่อนสั่งซื้อ

นำเข้าข้อมูลทั้งหมดไปยัง AppSheet เรียบร้อย

ตอนต่อไปจะเริ่มสร้างฟอร์มใส่สินค้าในตะกร้า และสร้างหน้าจอตะกร้าสินค้าในแอป



"MiniPOS" – แอปขายของขนาดเล็ก ใช้ได้จริง ไม่ต้องเขียนโค้ด

🎯 จุดประสงค์:

  • บันทึกการขาย (ขายสินค้า รับเงิน ดูยอดขายรายวัน)

  • จัดการสินค้า (เพิ่ม/ลบ/ปรับราคา)

  • สรุปยอดขาย รายงานกำไร

  • ใช้งานง่ายผ่านมือถือ/แท็บเล็ต

  • ไม่มีค่าใช้จ่าย (ใช้ Google Sheet + AppSheet)

ProductID ProductName Category Price Stock Image
P001 กาแฟลาเต้ เครื่องดื่ม 45 30 (ลิงก์รูป)

SaleID Date ProductID Qty Total PaymentMethod
S001 2025-05-27 P001 2 90 เงินสด

UserID Name Role
U001 พิมพ์ เจ้าของร้าน

Date TotalSales TotalItems TotalIncome
2025-05-27 15 34 1,530

📱 หน้าจอใน AppSheet ที่ควรมี:

  1. หน้า "ขายสินค้า" (Sell)

    • เลือกสินค้า → ใส่จำนวน → คำนวณยอดรวม → กดบันทึก

    • เลือกวิธีชำระเงิน: เงินสด / โอน / พร้อมเพย์

  2. 📦 หน้า "สินค้า" (Products)

    • ดูรายการสินค้า

    • เพิ่มสินค้าใหม่ / แก้ไขราคา / ดูสต๊อกคงเหลือ

  3. 📊 หน้า "รายงานยอดขาย" (Dashboard)

    • กราฟยอดขายรายวัน

    • รายงานสินค้าไหนขายดี

    • ยอดรวมรายสัปดาห์ / เดือน

  4. 👥 (เสริม) หน้า "ผู้ใช้งาน" – กำหนดสิทธิ์หรือให้หลายคนใช้ร่วมกัน


🧠 ไอเดียเสริมสำหรับตอนต่อไปใน YouTube:

  • EP2: “วิธีเพิ่มสินค้า + ตั้งราคาใน Google Sheet สำหรับ POS”

  • EP3: “สร้างหน้าบันทึกการขายด้วย AppSheet ง่าย ๆ”

  • EP4: “สร้างรายงานยอดขายอัตโนมัติ ดูได้ทุกวัน”

  • EP5: “แปลง Google Sheet เป็น POS ใช้บนมือถือ”



แจกโปรแกรมฟรีช่วยสร้างแอปง่าย ๆ โดยไม่ต้องเขียนโค้ด (No-Code Tools 2025)

 ในยุคนี้ใคร ๆ ก็สามารถสร้างแอปของตัวเองได้ง่าย ๆ แม้ไม่มีพื้นฐานการเขียนโปรแกรมเลย เพราะเครื่องมือ No-Code Platforms ได้ถูกพัฒนาให้ใช้งานง่าย สร้างแอปพลิเคชันได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง เหมาะทั้งกับผู้ประกอบการ นักเรียน นักการตลาด หรือแม้แต่นักพัฒนาแอปหน้าใหม่ที่ต้องการเริ่มต้นโดยไม่ต้องเขียนโค้ดแม้แต่บรรทัดเดียว

วันนี้เรารวมโปรแกรมและแพลตฟอร์ม No-Code สุดเจ๋ง ประจำปี 2025 ที่คุณสามารถใช้งานได้ฟรี หรือมีเวอร์ชันฟรีให้เริ่มต้น สร้างได้ทั้งแอปบนมือถือ เว็บไซต์ ไปจนถึงระบบฐานข้อมูลหลังบ้าน!


🔧 1. AppSheet – แอปจาก Google สร้างง่ายจาก Google Sheet

  • ✅ ประเภท: แอปมือถือ/เว็บ

  • 💡 เหมาะสำหรับ: คนทำงานเอกสาร, สร้างแอปจากข้อมูล Excel/Google Sheet

  • 🌐 เว็บไซต์: https://www.appsheet.com

จุดเด่น

  • ดึงข้อมูลจาก Google Sheets มาใช้เป็นฐานข้อมูลแอป

  • สร้างแอปได้ทันทีแบบ responsive

  • มีฟีเจอร์ logic เช่นการแจ้งเตือน, คำนวณอัตโนมัติ

  • ใช้ฟรีหากใช้งานส่วนตัวหรือเพื่อทดลอง

ตัวอย่างการใช้งาน

  • แอปลงเวลางาน

  • แอปสั่งซื้อสินค้า

  • แอปเช็กยอดสต๊อก


⚡ 2. Glide – สร้างแอปมือถือสุดสวยจาก Google Sheet ภายใน 5 นาที

  • ✅ ประเภท: แอปมือถือ/เว็บ

  • 💡 เหมาะสำหรับ: คนทั่วไป, ธุรกิจขนาดเล็ก

  • 🌐 เว็บไซต์: https://www.glideapps.com

จุดเด่น

  • สร้างแอปโดยใช้ข้อมูลจาก Google Sheets

  • UI สวยมาก ลากวางได้

  • มีเทมเพลตสำเร็จรูปให้เลือก

  • ใช้ฟรีในแบบ Public App (มีลายน้ำ Glide)

ตัวอย่าง

  • แอปรายชื่อสมาชิก

  • แอปฟอร์มลงทะเบียน

  • แอปร้านค้าแบบง่าย ๆ


🌐 3. Bubble – สร้างเว็บแอประดับมืออาชีพแบบไม่ต้องเขียนโค้ด

  • ✅ ประเภท: Web App

  • 💡 เหมาะสำหรับ: Startup, MVP, SaaS

  • 🌐 เว็บไซต์: https://bubble.io

จุดเด่น

  • สร้างระบบ login, ฟอร์ม, ระบบจอง, ฐานข้อมูลได้ครบ

  • มี workflow และ logic ซับซ้อนได้ (เหมือนเขียนโค้ด แต่ใช้ GUI)

  • เหมาะสำหรับทำเว็บระบบ เช่น ระบบสมาชิก ระบบจองตั๋ว


📱 4. Thunkable – สร้างแอปมือถือ iOS/Android ลากวางได้

  • ✅ ประเภท: แอปมือถือ (native)

  • 💡 เหมาะสำหรับ: นักเรียน, ผู้เริ่มต้นเขียนแอป

  • 🌐 เว็บไซต์: https://thunkable.com

จุดเด่น

  • ลากบล็อก logic ได้คล้าย Scratch

  • สร้างแอปแล้ว export ไปใช้กับ iOS/Android

  • มีระบบกล้อง, แผนที่, การแจ้งเตือนครบ

  • มีเวอร์ชันฟรีใช้งานได้ดี


🧩 5. Adalo – สร้างแอปและเชื่อมต่อฐานข้อมูลได้จริง

  • ✅ ประเภท: แอปมือถือ

  • 💡 เหมาะสำหรับ: ธุรกิจ, ผู้พัฒนา MVP

  • 🌐 เว็บไซต์: https://www.adalo.com

จุดเด่น

  • สร้างระบบล็อกอิน, ฐานข้อมูล, ร้านค้าได้ในไม่กี่คลิก

  • UI ลากวาง

  • ใช้เวอร์ชันฟรีสำหรับแอปทดลองใช้งาน (มีลายน้ำ)


📊 ตารางเปรียบเทียบเครื่องมือ No-Code 2025

เครื่องมือประเภทแอปความง่ายในการใช้งานรองรับภาษาไทยแพลตฟอร์มฟรี
AppSheetWeb/Mobile⭐⭐⭐⭐
GlideWeb/Mobile⭐⭐⭐⭐⭐
BubbleWeb App⭐⭐⭐
ThunkableMobile⭐⭐⭐⭐
AdaloMobile⭐⭐⭐⭐

✨ สรุป: มือใหม่ก็เริ่มต้นสร้างแอปได้!

ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน ครู เจ้าของธุรกิจ หรือใครก็ตามที่มีไอเดียอยู่ในหัว คุณสามารถสร้างแอปได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดแม้แต่บรรทัดเดียว ขอเพียงคุณเริ่มต้นเรียนรู้จากแพลตฟอร์มเหล่านี้ แล้วทดลองใช้งานจริง คุณจะค้นพบว่า “การทำแอปไม่ยากอย่างที่คิด”



เพิ่มเลขลำดับอัตโนมัติใน Google Sheet ไม่ต้องเสียเวลาใส่เอง!

1. รันลำดับเลขธรรมดาอัตโนมัติ

หากคุณต้องการให้เลขลำดับเรียงอัตโนมัติในคอลัมน์ (เช่น 1, 2, 3, 4, …)

👉 วิธีที่ 1: ลากเติมเอง

  1. พิมพ์เลข 1 ที่เซลล์ A2

  2. พิมพ์เลข 2 ที่ A3

  3. ลากจากมุมล่างขวาของ A2:A3 ลงมา (Google Sheets จะเติมเลขให้โดยอัตโนมัติ)

👉 วิธีที่ 2: ใช้ฟังก์ชัน ROW()

=ROW() - 1

  • ใช้ในเซลล์ A2 หากแถวที่ 1 เป็นหัวตาราง

  • ROW() จะคืนค่าหมายเลขแถว เช่น แถวที่ 2 จะคืนค่า 2

  • ลบ 1 เพื่อให้เริ่มที่หมายเลข 1

  • 👉 วิธีที่ 3: ใช้ SEQUENCE() (แนะนำ)

  • =SEQUENCE(10,1,1,1)

    • สร้างลำดับเลข 1 ถึง 10

    • รูปแบบ: SEQUENCE(จำนวนแถว, จำนวนคอลัมน์, ค่าเริ่มต้น, ระยะห่าง)

    • เช่น: =SEQUENCE(100,1,1,1) จะได้ 1–100 ในคอลัมน์เดียว


    2. รันหมายเลขเฉพาะแถวที่มีข้อมูล

    สมมติว่าคุณมีข้อมูลอยู่ในคอลัมน์ B และอยากให้คอลัมน์ A เป็นลำดับเฉพาะแถวที่ B ไม่ว่าง

    สูตร:

  • =IF(B2<>"", ROW()-1, "")
  • หรือแบบยืดหยุ่นกว่านี้:
  • =IF(B2<>"", COUNTA($B$2:B2), "")
    • สูตรนี้จะนับเฉพาะแถวที่มีข้อมูลในคอลัมน์ B และรันลำดับให้เท่านั้น


    3. อัปเดตอัตโนมัติเมื่อเพิ่มข้อมูล

    ถ้าอยากให้ระบบเพิ่มหมายเลขลำดับให้ทุกครั้งที่มีการเพิ่มแถวใหม่ (โดยอัตโนมัติ) ให้ใช้ ARRAYFORMULA:

  • =ARRAYFORMULA(IF(B2:B<>"", ROW(B2:B)-1, ""))

  • หรือแบบไม่ขึ้นกับเลขแถว:
  • =ARRAYFORMULA(IF(LEN(B2:B), SEQUENCE(COUNTA(B2:B)), ""))


  • ทำแอพเชคชื่อใน 15 นาที ด้วย Appsheet ep2

     ตอนที่ 2 เราจะมาขยายความสามารถของแอพ ในการสร้างตารางเพิ่ม เพื่อเรียกดูข้อมูล การบันทึกเวลา เข้างานออกงาน ของแต่ละคน กันครับ 

    🔁 ถามตัวเองก่อนจะสร้าง Table ใหม่:

    คำถามถ้าคำตอบคือ "ใช่" → สร้าง Table ใหม่
    ต้องการคำนวณผลต่างของเวลา (IN - OUT)?
    ต้องสรุปผลรายวัน/รายเดือนของแต่ละพนักงาน?
    ต้องการดูค่าเฉลี่ยเวลาทำงานหรือสะสม?

    ตามเหตุผล เรามาสร้างตารางเพิ่มก่อน ตามคำแนะนำ ด้านล่าง 

    🔧 ขั้นตอนที่ 1: เตรียม Google Sheet

    1. ไปที่ไฟล์ Google Sheet ของคุณ

    2. เพิ่มแผ่นใหม่ ชื่อว่า DailyWorkSummary

    3. ใส่หัวตารางแบบนี้:

    SummaryIDEmployeeIDDateInTimeOutTimeWorkHours
    (Auto ID)E0012025-05-2508:00 AM05:00 PM9.0

    นำเข้าข้อมูลไปที่ Appsheet และกำหนดชนิดของคอลัมน์ ดังนี้

    🔧 ขั้นตอนที่ 2: ตั้งค่า Column ใน AppSheet

    1. ไปที่ Data > Columns > DailyWorkSummary

    2. ตรวจสอบและตั้งค่า:

      • SummaryID: Key (Auto)

      • EmployeeID: Type = Ref → Table = Employee

      • Date: Type = Date

      • InTime / OutTime: Type = DateTime

      • WorkHours: Type = Decimal (หรือ Duration ก็ได้)


    วิธี : ใช้สูตร Virtual Column คำนวณเวลาจาก TimeLogs

    🔧 วิธีเพิ่ม Virtual Column ใน DailyWorkSummary

    🧩 Virtual Column 1: In Time

    MIN(

      SELECT(

        TimeLogs[เวลา],

        AND(

          [EmployeeID] = [_THISROW].[EmployeeID],

          [ประเภท] = "เวลาเข้า",

          DATE([เวลา]) = [_THISROW].[Date]

        )

      )

    )

    สร้างอีกคอลัมน์จำลอง 

    🧩 Virtual Column 2: Out Time

    MAX(

      SELECT(

        TimeLogs[เวลา],

        AND(

          [EmployeeID] = [_THISROW].[EmployeeID],

          [ประเภท] = "เวลาออก",

          DATE([เวลา]) = [_THISROW].[Date]

        )

      )

    )



    🔧 ขั้นตอนที่ 3: สร้างกราฟสรุปจาก DailyWorkSummary

    1. ไปที่ UX > Views

    2. กด “New View”

    3. ตั้งชื่อ: กราฟเวลาทำงาน

    4. View type: Chart

    5. For table: DailyWorkSummary

    6. Chart type: Column หรือ Line

    7. Label: Date

    8. Series: WorkHours

    9. Group by: EmployeeID หรือ Name


    🎯 เสริม: เพิ่มใน Dashboard

    1. ไปที่ UX > Views

    2. New View → Type = Dashboard

    3. เพิ่ม View:

      • Table ของ DailyWorkSummary

      • Form (ถ้ามี)

      • Chart ที่สร้างไว้

    วิธีป้องกันการลงเวลาเข้างานซ้ำในแต่ละวัน

    ✅ สูตร Valid If (เช็คทั้ง "เวลาเข้า" และ "เวลาออก")

    IF(
      [ประเภท] = "เวลาเข้า",
      ISBLANK(
        FILTER(
          "TimeLogs",
          AND(
            ([EmployeeID] = [_THISROW].[EmployeeID]),
            ([วันที่] = [_THISROW].[วันที่]),
            ([ประเภท] = "เวลาเข้า")
          )
        )
      ),
      IF(
        [ประเภท] = "เวลาออก",
        AND(
          ISBLANK(
            FILTER(
              "TimeLogs",
              AND(
                ([EmployeeID] = [_THISROW].[EmployeeID]),
                ([วันที่] = [_THISROW].[วันที่]),
                ([ประเภท] = "เวลาออก")
              )
            )
          ),
          NOT(
            ISBLANK(
              FILTER(
                "TimeLogs",
                AND(
                  ([EmployeeID] = [_THISROW].[EmployeeID]),
                  ([วันที่] = [_THISROW].[วันที่]),
                  ([ประเภท] = "เวลาเข้า")
                )
              )
            )
          )
        ),
        TRUE
      )
    )



    "AppSheet ทำระบบเช็คชื่อใน 15 นาที"

     “อยากมีระบบเช็คชื่อโดยไม่ต้องเขียนโค้ด? วันนี้ผมจะพาคุณทำระบบเช็คชื่อใน 5 นาที ด้วย AppSheet ฟรี ใช้ได้จริง!”

    เป้าหมาย

    • พนักงานใช้มือถือในการ “เช็คชื่อเข้า” และ “เช็คชื่อออก”

    • ผู้บริหารดูรายงานเข้า-ออกงาน รายวัน/รายเดือน ได้จาก Google Sheet

    • ระบบใช้งานได้ใน 1 วัน ไม่ต้องตั้ง Server

    โครงสร้าง Google Sheets

    🔹 ชื่อชีต: Employees

    EmployeeIDชื่อ-สกุลตำแหน่งสถานะ
    E001สมชาย ใจดีธุรการทำงานอยู่
    E002สมหญิง รักงานการเงินลาออก


    🔹 ชื่อชีต: TimeLogs

    LogIDวันที่เวลาEmployeeIDประเภทหมายเหตุ
    12025-05-2408:02:15 AME001เข้า
    22025-05-2405:13:10 PME001ออกเลิกงานตามเวลา


    เมนูการใช้งานใน AppSheet

    👤 ผู้ใช้งาน (พนักงาน)

    เมนูฟังก์ชัน
    🔘 ลงชื่อเข้าบันทึกเวลาปัจจุบัน → ประเภท "เข้า" → ระบบบันทึกอัตโนมัติ
    🔘 ลงชื่อออกบันทึกเวลาปัจจุบัน → ประเภท "ออก" → เพิ่มหมายเหตุ (ถ้ามี)
    📄 ประวัติของฉันดูรายการเข้า-ออกย้อนหลัง (Filter ด้วย Email หรือ EmployeeID)

    🧑‍💼 ผู้ดูแลระบบ (HR/ผู้จัดการ)

    เมนูฟังก์ชัน
    📊 สรุปเวลาเข้าออกรายงานรวมต่อวัน/เดือน → แสดงว่าใครเข้า-ออกกี่โมง
    👥 รายชื่อพนักงานเพิ่ม/ลบ/แก้ไขข้อมูลพนักงาน
    📤 ส่งออกข้อมูลดึงข้อมูลจาก TimeLogs เป็น Excel หรือ PDF

    🎨 หน้า Form ตัวอย่างใน AppSheet

    • วันที่ → NOW() หรือ TODAY() (ซ่อน)

    • เวลา → NOW() (ซ่อน)

    • EmployeeID → จากระบบ Login หรือเลือกจาก Drop-down

    • ประเภท → Drop-down "เข้า / ออก"

    • หมายเหตุ → ช่องเสริม (เช่น “มาสาย”, “ออกไปประชุม”)


    📈 Dashboard ที่สร้างได้

    • กราฟ bar chart: จำนวนเข้า/ออกรายวัน

    • ตาราง pivot: แสดงการเข้า-ออกของพนักงานแต่ละคน

    • Heatmap: ใครมาทำงานวันไหนบ้าง (ปฏิทิน)

    🔹 CheckType (เลือกเข้า / ออก)

    • Type: Enum

    • Values: "เข้า", "ออก"

    • Allow other values: FALSE


    📱 การออกแบบ หน้าจอเช็คชื่อ

    ✅ View: “เช็คชื่อ”

    • Type: Form

    • Source table: TimeLogs

    • ชื่อ View: ลงชื่อเข้า/ออก

    • Show columns:

      1. EmployeeID → แบบ Drop-down หรือกรอกอัตโนมัติ

      2. CheckType → “เข้า” / “ออก”

      3. Note → ถ้ามี

    • Columns ที่ “ซ่อน”:

      • Timestamp (ยังใช้งานอยู่แต่ไม่ต้องให้ผู้ใช้กรอก)

      • LogID

    ✅ เมื่อผู้ใช้กรอกเสร็จ → ระบบจะสร้างเรคคอร์ดพร้อม Timestamp ทันที


    🗂 View สำหรับดูประวัติ (พนักงาน)

    ✅ View: “ประวัติของฉัน”

    • Type: Table

    • Source: TimeLogs

    • Slice: Filter ให้แสดงเฉพาะ EmployeeID ของผู้ใช้ปัจจุบัน
      (ถ้าเปิด User Login Authentication)

    • Group by: Date


    📊 View สำหรับผู้ดูแล (HR)

    • Dashboard รวม:

      • 🔹 Chart: จำนวนนับเข้า-ออกต่อวัน

      • 🔹 Table: พนักงานที่มาทำงานวันนี้

      • 🔹 Filter: ดูรายบุคคล



    ขั้นตอนการดาวโหลดและติดตั้ง XAMPP บน Ubuntu

     ขั้นแรก ให้ดาวโหลดโปรแกรม Xampp จากเวบไซต์ทางการของ xampp สำหรับเวอรชันล่าสุดคือ PHP 8.0.30 แต่ถ้าใครที่พัฒนา Script language มานานแล้ว ก็สามารถย้อนไปดาวโหลดตัวก่อนหน้าได้ เพื่อให้รองรับการใช้งานร่วมกันได้ compatible 




    ขั้นสอง การเข้าถึงไฟล์ที่โหลดมา สำหรับมือใหม่ ให้เปิด terminal แล้วพิมพ์คำสั่งเข้าห้อง เพื่อไปหาไฟล์ที่ดาวโหลดมาจากขั้นตอนแรก  คำสั่งคือ 

    ตรง username ชื่อเครื่อง จะแตกต่างกันออกไปตามที่ผู้ใช้งานติดตั้งลงโปรแกรม ubuntu ครั้งแรก 

    cd /home/[username]/Downloads

    chmod 755 [filename]

    เป็นการเปลี่ยนโหมดให้สามารถ run ไฟล์ติดตั้งได้ ปกติแล้วชื่อของไฟล์ คือ xampp-linux-x64-8.2.0-0-installer.run
    sudo ./[filename]
    จะเป็น
    sudo ./xampp-linux-x64-8.2.0-0-installer.run
    ต้องใส่รหัสผ่านเครื่องของ admin ในการยืนยัน การติดตั้ง 
    จากนั้น จะมีหน้าต่างการติดตั้งขึ้นมา กดปุ่มต่อไป จนจบขั้นตอนการติดตั้ง 

    คลิก Finish 
    การเรียกหน้าต่างควบคุมการใช้งาน xampp ภายหลัง 
    sudo /opt/lampp/./manager-linux-x64.run

    การเรียกทดสอบระบบฐานข้อมูล ไปที่โปรแกรมท่องเนต เช่น Google Chrome แล้วพิมพ์ localhost/


    สร้างแอพกาแฟอย่างง่ายด้วยตนเอง Coffee POS app by Appsheet

     ขั้นตอนแรก แนวคิดการออกแบบ เน้นง่าย และเป็นการฝึกการใช้งาน สร้างความเข้าใจพื้นฐาน การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตาราง Table relationship 

    ออกแบบตารางฐานข้อมูลสำหรับโปรเจคง่ายๆ นี้กัน ดังนี้ 

    ตาราง Sale บันทึกข้อมูลบิลขายสินค้า วันเวลาที่ขายสินค้า 

    ตาราง Sale detail บันทึก รายละเอียดการขาย รายการขาย จำนวนที่ขาย คิดค่าสินค้า 


    ตาราง product บันทึกข้อมูลสินค้า ในนี้คือ กาแฟ ชนิดต่างๆ 

    ตาราง Customer ข้อมูล ลูกค้า อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ 


    การออกแบบฟอร์มขาย UX View จำนวน 3 เมนูคือ สินค้า ขายสินค้า และ ลูกค้า ตามภาพประกอบ 

    รู้จักกับ Main form คือ Sale Form กำหนดรหัสบิลขาย หรือ sale ID เป็นคีย์หลัก ห้ามซ้ำ โดยใส่ค่าเริ่มต้นของคอลัมน์เป็น QuiqueID  

    การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตาราง Sale กับ Sale detail คอลัมน์ Sale ID ของตาราง Sale detail เลือก ref และแหล่งข้อมูลเป็นตาราง Sale และติ้ก Is a part of ถูกด้วย เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงเมนูในการเรียกใช้งานแบบฟอร์มย่อย 



    สูตรและคำสั่งที่จำเป็นในการสร้างแอพ 

    [Product ID].[Price]*[Quantity]

    คิดยอดขายแต่ละแก้ว 


    [Pay by Cash]-[Total Price]

    คิดเงินทอน 


    SUM([Related Sale details][total price])

    คิดยอดรวมการขายแต่ละบิลขาย